วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

No-Bake Bakery of the Day: Cinnamon Roll



No-Bake Bakery
สูตรขนม ไม่ต้องใช้เตาอบ วันนี้เป็น Cinnamon Roll

เป็นอีกหนึ่งขนมที่ไม่คิดว่า ไม่ต้องใช้เตาอบก็สามารถทำได้

ส่วนผสม
ขนมปังขาวตัดขอบ 2 ชิ้น (ต่อ 1 ชิ้น)
เนย 2 ช้อนโต๊ะ
ผงอบเชย 2 ช้อนโต๊ะ
confectioners’ sugar 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า 1/8 ช้อนชา หรือเท่าที่จำเป็น

วิธีทำ
แผ่แผ่นขนมปังด้วยลูกกลิ้งจบแบน จากนั้นทาขนมปังด้วยเนยแล้วโรยด้วยผงอบเชย
ม้วนขนมปังจากด้านนึงไปอีกด้านให้แน่น (เหมือนม้วนเสื่อ) แล้วต่อด้วยขนมปังที่รีดแล้วแผ่นที่ 2 (1ชิ้นใช้ขนมปัง 2 แผ่นต่อกัน)
ผสมน้ำกับ confectioners’ sugar ในชามใบเล็กๆ เพื่อทำ frosting
โปรย frosting ลงบนขนมปัง แล้วก็พร้อมเสิร์ฟ

แล้วจะหาสูตรขนมง่ายๆตามสไตล์ No-Bake Bakery มาฝากกันใหม่ค่ะ

credit : allrecipes.com
ดูได้ที่ Hroyy!
ดูได้ที่ Bloggang

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

No-Bake Bakery of the Day: Chocolate Cookies


No-Bake Bakery
สูตรขนม ไม่ต้องใช้เตาอบ วันนี้เป็น Chocolate Cookies

ถ้าหากใครเคยคิดว่าจะทำคุ๊กกี้ จะต้องมีเตาอบหรือไมโครเวฟเท่านั้นหล่ะก็
ลองดูสูตรนี้ก่อนนะ อิอิ

ส่วนผสม
น้ำตาลทรายขาว 2 ถ้วย
นม 1/2 ถ้วย
เนยเทียม 1/ 2 ถ้วย
ข้าวโอ๊ตอบแห้ง 3 ถ้วย
vanilla extract 1 ช้อนชา
ผงโกโก้แบบไม่หวาน 3 ช้อนโต๊ะ
มีพร้าวอบแห้งแบบแผ่น 1/2 ถ้วย

วิธีทำ
ใช้กระทะท้องแบนตั้งเตาด้วยไฟกลาง แล้วเทน้ำตาล, นม และ เนยเทียมลงไป
ตั้งจนเดือด แล้วคนให้เข้ากัน ต้มประมาณ 4-5 นาที
ยกลงจากเตา แล้วใส่ข้าวโอ๊ต, วนิลา, ผงโกโก้ และ มะพร้าวแห้ง ลงไปคนให้เข้ากัน
ใช้ช้อนตักใส่กระดาษไขแล้วปล่อยให้เย็นลงอย่างน้อย 1 ชม.
แล้วเก้บในภาชนะที่ปิดมิมดชิด ไม่มีอากาศเข้า

แล้วจะหาสูตรขนมง่ายๆตามสไตล์ No-Bake Bakery มาฝากกันใหม่ค่ะ

credit : allrecipes.com
ดูได้ที่ Hroyy!
ดูได้ที่ Bloggang

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552

No-Bake Bakery of the Day: Caramel Custard



No-Bake Bakery
สูตรขนม ไม่ต้องใช้เตาอบ วันนี้เป็น Caramel Custard

ช่วงนี้วันหยุดเยอะ (บางคนหยุดยาว)
ว่างๆก็ทำขนมกินกันนะคะ จะได้อ้วนกันทั่วหน้า @^_^@

ส่วนผสม
ไข่ไก่ (ขนาด jumbo) 5 ฟอง ถ้าไข่เล็กก็เพิ่มเป็น 6 ฟองได้
นมข้นหวาน 1 กระป๋อง
น้ำ 1 กระป๋อง (ใช้กระป๋องนมข้นหวานตวงก็ได้)
น้ำตาลทราย 10 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
ทำคาราเมล โดยเอาน้ำตาลใส่ในพิมพ์ ตั้งเตาไฟกลาง แล้วคนไปเรื่อยๆ
พอน้ำตาลละลายหมด ให้เติมน้ำร้อนลงไปประมาณ 3-4 ช้อน เพื่อไม่ให้คาราเมลข้นเกินไป การทำคาราเมลนี้ ต้องใช้ความระมัดระวังสูง เพราะไหม้ง่ายมากๆ
จากนั้นหมุนพิมพ์ให้คาราเมลเคลือบพิมพ์ให้ทั่ว ขั้นนี้ต้องรีบๆทำหรือใช้แปรงทาพิมพ์ช่วยให้เร็วขึ้น ไม่งั้นคาราเมลจะเย็นตัวแล้วเกาะกันอยู่ก้นพิมพ์
พอทำคาราเมลเสร็จแล้ว ก็เริ่มตีไข่ ถ้าไม่มีเครื่องตี ก็ใช้มือตีก็ได้ค่ะ ตีให้ฟู
พอไข่ฟูดีแล้ว ให้เติมนมข้นลงไป แล้วตามด้วยเติมน้ำลงไป 1 กระป๋อง ผสมให้เข้ากันดีแล้วเทใส่พิมพ์ที่เตรียมไว้
ฝานเปลือกเลมอนบางๆ ซัก 4-5 ชิ้น วางลงไป บนของเหลวอีกที(เพื่อดับกลิ่นไข่) ถ้าไม่มีเลมอนก็ใส่วานิลลาลงไปแทนซัก 1 ช้อนชา(ใส่ตอนผสมกับนมและน้ำ)
จากนั้นปิดด้วยพลาสติก รัดด้วยยางรัดของ(เส้นใหญ่) และเจาะรู(ควรจะหลายๆ รู)ด้วยไม้จิ้มฟัน ปิดด้วยพลาสติกเพื่อกันไม่ให้น้ำลงไปเวลานึ่ง
จากนั้นนำไปนึ่ง(ปิดฝาหม้อด้วย) นึ่งด้วยไฟกลางประมาณ 20-25 นาที เช็คสุกด้วยการใช้มือแตะดูว่าเนื้อคัสตาร์ดแข็งแล้ว เด้งๆ แต่อย่านึ่งนานเกินไปนะคะ เนื้อจะแข็ง
เมื่อนึ่งสุกแล้ว ให้เอาพิมพ์ออกจากหม้อนึ่ง แล้วทิ้งให้เย็นลงเล็กน้อย ถ้าใส่เปลือกเลมอนลงไปก็แกะเอาเปลือกเลมอนออกก่อน แล้วคว่ำพิมพ์บนจานที่มีก้นเล็กน้อย (คว่ำเหมือนทำเค้กเลย) ก็เสร็จเรียบร้อย

แล้วจะหาสูตรขนมง่ายๆตามสไตล์ No-Bake Bakery มาฝากกันใหม่ค่ะ

credit : internet
ดูได้ที่ Hroyy!
ดูได้ที่ Bloggang

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

No-Bake Bakery of the Day: Tiramisu


No-Bake Bakery
สูตรขนม ไม่ต้องใช้เตาอบ วันนี้เป็น Tiramisu

เป็นขนมไฮโซ ที่วิธีทำไม่ยากเลย (เพราะยากๆเราไม่ทำ หุหุ)
ทิรามิสุ (tiramisu)เป็นขนมหวานสัญชาติอิตาเลียน เป็นขนมที่เนื้อนุ่มเบาและมีรสเข้มข้นของชีส(Mascapone)และรสขมๆของกาแฟดำ อร่อยอย่างลงตัว (แถมลงพุง)
สูตรนี้เอามาจาก Health & Cusine

ส่วนผสมเนื้อครีม
ไข่ 3 ฟอง
วิปปิ้งครีม(Whipping cream)หรือเฟรชครีม (Fresh cream) 1 1/4 ถ้วย
ชีสมาสคาโปเน่(mascapone cheese) 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ

ส่วนผสมสปองจ์กาแฟ
ขนมปังเลดี้ฟิงเกอร์(Lady finger) 10 ชิ้น (ชอบกินของ little home อ่ะ)
กาแฟดำ 2 ถ้วยตวง
ผงโกโก้สำหรับโรยหน้า

วิธีทำ
ผสมครีมกับชีสมาสคาโปเน่แล้วตีให้ขึ้นฟู(ความเร็วปานกลางจนตั้งยอด) แช่เย็นไว้จนเย็นจัด
แยกไข่ขาวกับไข่แดง ผสมน้ำตาลทรายกับไข่แดงตีรวมกันจนเป็นครีมข้น แช่เย็นไว้
ตีไข่ขาวจนกระทั่งฟูตั้งยอด
นำส่วนผสมของชีส ไข่แดง และไข่ขาวที่แช่เย็นจัดมาเคล้ารวมกันเบาๆ จากนั้นนำไปแช่เย็นอีกครั้งประมาณ 30 นาที
นำขนมปังเลดี้ฟิงเกอร์ไปจุ่มในกาแฟดำให้ชุ่ม จัดใส่ในแก้วที่ชอบแล้วราดทับด้วยครีม สลับชั้นกันจนเต็มแก้ว โรยหน้าด้วยผงโกโก้

H&C Tips
ไข่ควรใช้ไข่สดใหม่ เพราะเมื่อตีแล้วจะขึ้นฟู
กาแฟดำควรชงให้มีรสขมกว่าปกติเล็กน้อย เพราะจะตัดรสกับครีมได้ดียิ่งขึ้น
ควรเสิร์ฟขณะที่เย็นจัด และอาจเสิร์ฟคู่กับขนมปังหรือผลไม้สด เช่น สตรอเบอรี่ ก็ได้

แล้วจะหาสูตรขนมง่ายๆตามสไตล์ No-Bake Bakery มาฝากกันใหม่ค่ะ

credit : Health & Cusine
ดูได้ที่ Hroyy!
ดูได้ที่ Bloggang

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552

No-Bake Bakery of the Day: Strawberry Jello Pie


No-Bake Bakery
สูตรขนม ไม่ต้องใช้เตาอบ วันนี้เป็น Strawberry Jello Pie

ตอนนี้หน้าหนาว เริ่มเห็นสตรอเบอร์รี่วางขายแล้วอ่ะ เลยนึกถึงพายเยลลี่ใส่สตรอเบอร์รี่
งืมมมมมม อยากกินจังง

ส่วนผสม
น้ำแอปเปิ้ล 1-1/4 ถ้วย
น้ำตาล 1/2 ถ้วย
แป้งข้าวโพด 3 ช้อนโต๊ะ
เจลาตินสำเร็จรูปรสสตรอเบอร์รี่ 1 กล่อง (สำหรับ 4 คน)
สตรอเบอร์รี่ผ่าครึ่ง 2 ถ้วย
crust (ฐานพาย)แบบผสมน้ำผึ้ง 6 ออนซ์

วิธีทำ
ผสมน้ำแอปเปิ้ล น้ำตาล และแป้งข้าวโพดในกระทะ คนๆด้วยไฟปานกลางประมาณ 2 นาที หรือจนกว่าจะข้น ต้องคอยสังเกตุนะคะ
นำกระทะลง ผสมเจลาตินลงไปในกระทะ คนๆอีกประมาณ 2 นาที จนกว่าจะละลาย
วางสตรอเบอร์รี่เรียงลงไปบนฐานพาย (crust) ที่เตรียมไว้
เทเจลาตินที่ผสมแล้วลงไปบนสตรอเบอร์รี่ที่วางบน crust
นำไปแชาในตู้เย็นประมาณ 2 ชม. หรือจนกว่าจะแข็งตัว

ตอนเอาออกมากินบีบวิปครีมลงด้วยก็ได้ เพิ่มความมัน อร่อยดี

แล้วจะหาสูตรขนมง่ายๆตามสไตล์ No-Bake Bakery มาฝากกันใหม่ค่ะ

credit : www.kraftfoods.com
http://wanwai.hroyy.com/2009/12/06/strawberry-jello-pie/

วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2552

No-Bake Bakery of the Day: Banoffee pie

No-Bake Bakery
สูตรขนม ไม่ต้องใช้เตาอบ วันนี้เป็นพายยอดนิยม Banoffee pie

วันนี้คึกมาก เลยลงสูตรขนมไว้เพียบ (คิดถึงช่วงที่ทำขนมบ่อยๆ)
สูตรขนมก็หาเอาจากในเนตอ่ะค่ะ เลือกทำขนมสูตรนี้เพราะว่าเป็นวิธีทำคาราเมลที่ง่ายที่สุดแล้ว
เพิ่งรู้เลยนะเนี่ย ว่าคาราเมลมันทำง่ายงี้ (สูตรอื่นอาจจะอร่อยกว่าหรือเปล่าไม่รู้ แต่อันนี้ง่ายมากๆอ่ะ)

ส่วนผสม
นมข้นหวาน 2 กระป๋อง
เนยละลาย 6 ช้อนโต๊ะ
เครกเกอร์ หรืด คุกกี้ 150 กรัม
อัลมอนด์อบบด 1/3 ถ้วย
ฮาเซลนัทอบบด 1/3 ถ้วย
กล้วย 4 ผล(กล้วยหอมสุกกำลังดีจะอาหย่อยมาก)
น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนโต๊ะ
ช็อกโกแลตขูด 75 กรัม
เฮฟวี่ครีม หรือ วิปปิ้งครีม 2 ถ้วย
วิธีทำ
ต้มนมข้นหวานทั้งกระป๋องในหม้อ เติมน้ำให้ท่วมกระป๋อง นำขึ้นตั้งไฟ ขั้นตอนนี้น่าจะใช้ไฟอ่อน-ปานกลางนะ
ใช้เวลาต้ม 2 ชั่วโมง หมั่นเติมน้ำให้ท่วมกระป๋องนะคะ จากนั้นยกกระป๋องนมมาพักไว้ให้เย็นสนิท เท่านี้ก็ได้คาราเมล (ง่ายมะ !!!)
เตรียมถาดพายขนาด 9 นิ้ว ทาเนยให้ทั่ว ส่วนเนยที่เหลือนำมาผสมกับเครกเกอร์และอัลมอนด์,ฮาเซลนัท เพื่อนำกรุทำพื้นพายและขอบด้านข้างของถาดค่ะ แล้วอบ 10-12 นาที, 350 F/180 C. (แต่เราแค่เอาไปแช่ตู้เย้็นให้แข็งเฉยๆ ไม่ได้อบอ่ะ)จากนั้นนำมาพักให้เย็น
มาทำตัวพายดีกว่า ปอกเปลือกกล้วยและหั่นกล้วยเป็นแว่นๆ ที่เคยทำก็จะหั่นให้หนาประมาณ 1 เซนติเมตร
เติมน้ำมะนาวและกลิ่นวานิลลาลงไป คนให้เข้ากัน แล้วเทลงบนเครกเกอร์ที่อบไว้แล้ว เกลี่ยให้ทั่ว
เปิดกระป๋องนมที่ต้มเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะได้นมข้นสีน้ำตาลเหนียวๆ แล้วเทนมทับลงบนกล้วย โรยช็อกโกแลตขูดประมาณ 50 กรัม ให้ทั่วนมข้น แล้วปิดทับด้วยวิปปิ้งครีมที่ตีให้ฟูแล้ว โรยช็อกโกแลตขูดที่เหลือบนวิปปิ้งครีมอีกครั้ง

แล้วจะหาสูตรขนมง่ายๆตามสไตล์ No-Bake Bakery มาฝากกันใหม่ค่ะ

credit : internet
http://wanwai.hroyy.com/2009/12/05/banoffee-piebanoffee-pie/

No-Bake Bakery of the Day: Strawberry Panna Cotta


No-Bake Bakery
สูตรขนม ไม่ต้องใช้เตาอบ วันนี้เป็น Strawberry Panna Cotta

อันนี้เคยทำแล้วจริงๆ (แต่ในรูปไม่ใช่อันที่ทำเอง แต่มันก็หน้าตาแบบนี้แหละ) ไม่ยากเลย แถมอร่อยมากกกกกกกด้วย
ขนาดว่าไม่ได้ทำขนมมานานมากแล้ว (ยุ่งอ่ะ ไม่มีเวลา) พี่ที่ออฟฟิสยัง request อยากกินขนมนี้อยู่บ่อยๆ (จ่ายตังค์มาด้วยเซร่ะ)


เริ่มเลยดีกว่า

ส่วนผสม panna cotta
วิปปิ้งครีม 2 ถ้วย
นม (ไม่พร่องมันเนย) 1 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
ผิวส้มซอยฝอย ๆ 1-2 ลูก (ทำให้ตัว panna cotta มีกลิ่นหอมส้มอ่ะ เอาเฉพาะผิวส้มด้านนอก สีขาวด้านในไม่เอา เพราะมันจะขม)
กลิ่นวนิลา 1/2 ช้อนชา
น้ำเย็น 2 ช้อนโต๊ะ
ผงเจลาติน 1 ช้อนโต๊ะ
สตรอเบอร์รี่สดเอาไว้แกล้ม ปริมาณตามชอบ ล้างให้สะอาดแล้วผ่าครึ่ง

วิธีทำตัว panna cotta
นำวิปปิ้งครีม + นม + น้ำตาล + วนิลา + ผิวส้ม มาใส่รวมกันในหม้อ นำไปตั้งไฟปานกลาง คนจนกว่าน้ำตาลจะละลาย แล้วต้มต่อจนเดือด
เมื่อเสร็จแล้วยกออกจากเตาแล้วตั้งพักไว้ประมาณ 10 นาที เพื่อให้ครีมดูดซับความหอมจากผิวส้มได้มากขึ้นค่ะ เมื่อได้เวลาแล้วก็นำมากรองเอาผิวส้มออก
นำเจลาตินกับน้ำเย็นมาผสมกัน แล้วตั้งพักไว้ประมาณ 5 นาที จากนั้นก็เอาถ้วยเจลาตินไปอังในถ้วยอีกใบที่ใส่น้ำร้อนไว้ แล้วคนจนเจลาตินละลาย
มีเทคนิคเล็กน้อย เมื่อละลายเจลาตินแล้ว อย่าเพิ่งใส่ลงในหม้อครีม ควรจะตักครีมมาใส่ในถ้วยเจลาตินซัก 3-4 ช้อนโต๊ะก่อน ค่อยๆใส่ทีละช้อนแล้วคนให้เข้ากัน แล้วค่อยเทเจลาตินที่ผสมแล้วลงไปในหม้อครีมอีกทีหนึ่ง
(เพราะถ้าเทเจลาตินลงไปทีเดียวเลยเนี่ย ความหนาแน่นของส่วนผสม 2 อย่างมันไม่เท่ากัน จะทำให้เนื้อไม่เข้ากันค่ะ)
เมื่อทำดังนี้เรียบร้อยแล้วก็นำไปใส่ในถ้วยพิมพ์ จะใช้ถ้วยพิมพ์แบบไหนก็ได้ตามใจชอบค่ะ เสร็จแล้วนำไปแช่ตู้เย็นช่องธรรมดา 4-6 ชั่วโมง

ส่วนผสมของซอสสตรอเบอร์รี่
สตรอเบอร์รี่สด 500 กรัม ล้างให้สะอาดพักไว้ให้แห้ง แล้วหั่นลูกนึงเป็นสี่ส่วน
น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วย
น้ำเปล่า 1/2 ถ้วย
ผิวส้มซอยฝอย ๆ 1 ช้อนชา
น้ำส้มคั้นสด 1/2 ช้อนโต๊ะ
เหล้าส้ม หรือ เหล้ารัม หรือบรั่นดี 1 ช้อนโต๊ะ (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ ตามสูตรเค้าใส่ แต่ตอนเราทำจริงๆ ก็ไม่ได้ใส่)
วิธีทำ
นำสตรอเบอร์รี่ + น้ำตาล + น้ำเปล่า + ผิวส้ม ใส่ในหม้อแล้วนำไปตั้งไฟปานกลาง
ต้มไปเรื่อย ๆ จนกว่าสตรอเบอร์รี่จะเปลื่อยประมาณ 10 นาที สตรอเบอร์รี่จะเปลื่อยจนเกือบละลายเป็นน้ำเชื่อม
เสร็จแล้วก็ยกออกจากเตา ตั้งไว้ให้เย็นลง แล้วนำไปแช่ตู้เย็นเก็บไว้ราดหน้าขนมตอนเสริฟ

เมื่อตัว panna cotta ได้เวลาเสริฟ ก็ให้นำพิมพ์ไปแช่ในน้ำร้อนซัก 2 วินาที หรือแช่จนกว่าจะเขย่าพิมพ์แล้วตัวขนมร่อนออกจากขอบพิมพ์ ระวังอย่าแช่นานเกินไปเพราะมันจะละลายเป็นน้ำ เดี๋ยวขนมจะออกมาไม่สวย
นำจานมาคว่ำประกบลงบนพิมพ์ แล้วพลิกจานหงายขึ้น เดี๋ยวขนมก็หลุดออกจากพิมพ์
นำ strawberry สด มาจัดลงในจาน แล้วราดด้วยซอสสตรอเบอร์รี่ให้สวยงาม

แล้วจะหาสูตรขนมง่ายๆตามสไตล์ No-Bake Bakery มาฝากกันใหม่ค่ะ

credit : pantip.com
http://wanwai.hroyy.com/2009/12/05/strawberry-panna-cottastrawberry-panna-cotta/